จีนออก "หยวนดิจิตอล" แต่ไม่ได้แปลว่าจะส่งเสริม crypto currency
คอลัมน์ลวดลายมังกร โดย... มาณพ เสงี่ยมบุตร
รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน China Business ธนาคารไทยพาณิชย์
รองผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงาน China Business ธนาคารไทยพาณิชย์
หน้า 4 ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 3,570
วันที่ 30 เมษายน - 2 พฤษภาคม
พ.ศ. 2563
อาจมีการมองว่าการประกาศตัวเงินหยวนดิจิตอลเป็นสัญญาณจากจีนที่เปลี่ยนท่าทีมาให้ความสำคัญและสนับสนุนการใช้ crypto currency ในทางกลับกัน ผู้เขียนเห็นว่าเงินหยวนดิจิตอลมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์ต่างจาก crypto currency อย่างสิ้นเชิง โดยเงินหยวนดิจิตอลเป็นส่วนหนึ่งของเงินหยวนปกติและช่วยเสริมการใช้เงินหยวนโดยรวม ในขณะที่เงิน crypto currency ทั้งหลายมีวัตถุประสงค์ต้องการทดแทนเงินปกติ
บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าประเทศจีนต้องการนำเงินหยวนดิจิตอลออกมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินนโยบายทางการเงิน ตลอดจนปราบปรามการทุจริต และในระยะยาวอาจเป็นตัวเสริมความเป็นสากลของเงินหยวน ธนาคารพาณิชย์จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับนวัตกรรมอันใหม่นี้
แนวคิดตรงกันข้ามกับ crypto currency โดยสิ้นเชิง - ธนาคารกลางจีนหรือ PBOC กำลังจะทดลองใช้เงินหยวนดิจิตอลที่มีชื่อทางการว่า Digital Currency/Electronic Payment (DCEP) โดยมีลักษณะที่แตกต่างจาก crypto currency เช่น bitcoin หรือ stable coin เช่น Libra (ที่บริษัท Facebook เคยคิดที่จะทำ) อยู่ 3 ประการดังนี้
1. มีกฎหมายรองรับและไม่ใช่เงินสกุลใหม่ : เงินหยวนดิจิตอลเป็นเงินที่มีกฎหมายและความน่าเชื่อถือของประเทศรองรับ ไม่ใช่เงินสกุลใหม่ หากแต่เป็นเงินหยวนในรูปแบบดิจิตอล (แทนที่จะเป็นกระดาษ) ดังนั้น ไม่ต้องมีการอิงราคากับสกุลเงินหรือสินทรัพย์ใดๆ ไม่ต้องมีการกำหนดราคาเป็นของตัวเองเพิ่มขึ้น เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของเงินหยวนที่มีใช้อยู่แล้ว ทีนี้ลองเปรียบเทียบกันดู Bitcoin ถือเป็นอีกสกุลเงินหนึ่งที่มีราคาตลาดขึ้นลงโดยไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับสกุลเงินจริงใดๆ หรือแม้กระทั่ง Libra ก็ยังถือเป็นอีกสกุลเงินหนึ่ง ที่มีการผูกค่ากับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อไม่ให้มีความผันผวน แต่โดยตัวมันเองไม่ได้มีการรับรองโดยรัฐประเทศ
2. มีลักษณะรวมศูนย์ : เจ้าหน้าที่ของ PBOC ระบุในหน้าข่าวว่าเงินหยวนดิจิตอลมีลักษณะการจัดเก็บแบบรวมศูนย์มาที่ธนาคารกลาง คือธนาคารกลางสามารถรู้ข้อมูลการเคลื่อนไหวตลอดจนสถานะของผู้ถือ (ว่าเป็นบุคคลธรรมดา หรือบริษัท SME หรือรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น) และฟังดูเหมือนว่าจะไม่อิงกับเทคโนโลยี blockchain โดยที่แนวคิดเรื่องการรวมศูนย์นี้ มีความตรงกันข้ามกับ blockchain ที่เน้นการกระจายการจัดเก็บข้อมูลโดยไม่มีตัวกลาง ตรงนี้ คงเป็นเพราะประเทศจีนมีแนวคิดการบริหารนโยบายการเงินแบบที่ยังต้องควบคุมได้
3. มีดอกเบี้ย : ที่น่าสนใจคือธนาคารกลางสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยให้กับเงินหยวนดิจิตอลได้โดยตรง คุณสมบัติข้อนี้เป็นจุดแตกต่างจากเงิน crypto currency โดยทั่วไป แต่ในขั้นทดลองนี้ยังไม่มีการกำหนดดอกเบี้ย
จึงเห็นได้ว่า การดำเนินการในครั้งนี้ ประเทศจีนไม่เพียงไม่ส่งเสริม แต่โดยนัยยังเป็นการสกัดกั้น crypto currency เสียด้วยซ้ำ
จีนจะใช้ประโยชน์อะไร - ธนาคารกลางจีนได้ศึกษาแนวทางการออกเงินหยวนดิจิตอลมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว การนำเงินหยวนดิจิตอลออกมาใช้ในช่วงเวลานี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพื่อการป้องกันการติดโรคระบาดผ่านธนบัตร ถึงแม้ประเทศจีนเป็นสังคมไร้เงินสดเกือบทั้งหมด แต่เบื้องหลังของกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลายที่มีอยู่ยังมีส่วนที่เป็นธนบัตรกระดาษอยู่ อาทิ การจัดเก็บที่ธนาคารพาณิชย์ ส่วนหยวนดิจิตอลจะไม่มีขั้นตอนของธนบัตรกระดาษแต่อย่างใด
ในระยะต่อไปเมื่อมีการใช้เงินหยวนดิจิตอลในวงกว้าง ธนาคาร PBOC น่าจะสามารถดำเนินนโยบายทางการเงินได้แบบคล่องตัวและตรงจุดมากขึ้น เนื่องจากคุณสมบัติด้านการรวมศูนย์ที่ทำให้ติดตามสถานะของผู้ถือเงินได้ กล่าวคือธนาคารกลางอาจกำหนดหรือปรับอัตราดอกเบี้ยในระดับที่ต่างกันสำหรับกลุ่มผู้ถือเงินแต่ละกลุ่มโดยตรง โดยไม่ต้องผ่านกลไกของธนาคารพาณิชย์
ผู้อ่านที่ไม่คุ้นเคยกับวิธีการดำเนินนโยบายการเงินของจีน อาจจะงงกับประเด็นนี้ ผู้เขียนจึงขอขยายความว่า นอกจากเครื่องมือนโยบายที่อาศัยกลไกราคาดอกเบี้ยและกลไกตลาดต่างๆ แล้ว ธนาคาร PBOC มีระบบการชี้นำโควตาการปล่อยเงินกู้สำหรับแต่ละธนาคารพาณิชย์โดยตรงอีกด้วย เพื่อให้สภาพคล่องในระบบอยู่ในระดับที่ต้องการโดยตรง
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.thansettakij.com/content/431841
ขอบคุณแหล่งข้อมูล https://www.thansettakij.com/content/431841