วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

10 เทรนด์ปฏิวัติเทคโนโลยีจีน

                                                                                             เมษายน 17, 2019 5:03 PM แจ็คหม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบา ได้ทุ่มเงินลงทุนมหาศาลเพื่อสร้างสถาบันตั๊กม้อ (DAMO Academy) ให้เป็นหน่วยวิจัยเทคโนโลยีระดับโลกของจีน พร้อมตั้งวิสัยทัศน์ใหญ่ไว้ 3 ข้อ ได้แก่ สถาบันตั๊กม้อต้องอายุยืนกว่าอาลีบาบา, ต้องมีเป้าหมายยกระดับชีวิตของประชากรโลกอย่างน้อย 2,000 ล้านคน และต้องมองไปยังอนาคตเสมอ เพื่อวิจัยเทคโนโลยีสำหรับรับมือปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต (ไม่ใช่เพียงปัญหาในอดีตหรือปัญหาในวันนี้)
              เมื่อต้นปี ค.ศ. 2019 ที่ผ่านมา นับเป็นครั้งแรกที่สถาบันตั๊กม้อออกรายงานแนวโน้มเทรนด์เทคโนโลยีเผยแพร่แก่สาธารณะ เรียกได้ว่าเป็นการมองไปในอนาคตอย่างแท้จริง โดยฉายภาพ 10 เทรนด์ที่กำลังปฏิวัติเทคโนโลยีจีน
              ทั้ง 10 เทรนด์ มีพื้นฐานมาจากพลังของ “สามปฏิวัติ” ได้แก่ การปฏิวัติพลังการประมวลผลของคอมพิวเตอร์ การปฏิวัติรูปแบบอัลกอริทึมของ AI  และการปฏิวัติเทคโนโลยีสื่อสาร 5G


เรามาดูกันครับว่า 10 เทรนด์สำคัญ นี้มีอะไรบ้าง
  1. เมืองอัจฉริยะครบวงจร โดยจะมีการใช้เทคโนโลยีจำลองผล (Simulation) จากข้อมูลมหาศาลของเมือง เพื่อใช้ทำนายและบริหารจัดการระบบจราจร ระบบประปา ระบบไฟฟ้า และคุณภาพอากาศ เมืองหลายแห่งของจีนจะมี “City Brain” ซึ่งเป็นระบบ AI แบบบูรณาการที่ใช้วางแผนการจัดการทรัพยากรต่างๆ ในเมืองอย่างมีประสิทธิภาพ

  1. Speech AI จะก้าวข้าม Turing Test (Turing Test คือ การทดสอบว่า เสียง AI เหมือนเสียงคนจริงๆ พูดหรือไม่) ในปัจจุบัน มีหลายกรณีที่เสียงของ AI เหมือนเสียงคนจนแยกไม่ออกว่าไม่ใช่คนจริง (ลองนึกถึง AI ผู้ประกาศข่าวของจีนที่แชร์กันอย่างแพร่หลาย) ต่อไปจะเริ่มมีการใช้เสียง AI แทนการใช้พนักงานบริการที่เป็นคนมากขึ้น เช่น การใช้เสียงเอไอเอในการโทรแจ้งลูกค้าว่าพัสดุส่งถึงแล้ว เป็นต้น

  1. ชิปสำหรับใช้กับ AI โดยเฉพาะ ซึ่งจะเข้ามาทดแทนระบบ GPU ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ชิปสำหรับใช้กับ AI โดยเฉพาะจะสามารถประมวลผลข้อมูลปริมาณมหาศาลได้รวดเร็วกว่าเทคโนโลยีชิปในรูปแบบดั้งเดิม ก่อนหน้านี้ สถาบันตั๊กม้อได้เคยประกาศแผนวิจัยและพัฒนาชิปประมวลผลสำหรับ A.I. โดยเฉพาะ ใช้ชื่อว่า ‘Ali NPU’ โดยตั้งเป้าพัฒนาให้ชิปตัวนี้มีประสิทธิภาพต่อราคาสูงกว่าชิปที่มีอยู่ในตลาด 40 เท่า และมีความเร็วของ NPU สูงกว่าชิปในตลาดที่ใช้ CPU หรือ GPU เป็นหลัก 10 เท่า

  1. AI จะเริ่มคิดเชิงเหตุผลได้ โดยผสมเทคโนโลยี Super large graph neural network เข้ากับ deep learning techniques ซึ่งจะพัฒนาให้ AI เริ่มให้เหตุผลเบื้องต้นได้ นับเป็นการปฏิวัติแนวทางการพัฒนาอัลกอริทึมของ AI ให้มีความฉลาดขึ้นไปอีกขั้น จากที่ผ่านมาทำได้เพียงประมวลผลข้อมูล แต่ไม่สามารถวิเคราะห์แยกแยะให้เหตุผลแบบมนุษย์ได้

  1. ระบบคอมพิวเตอร์เข้าสู่ยุค Quantum Computing จากเดิมที่เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่มี CPU เป็นหน่วยประมวลผลกลาง เปลี่ยนมาเป็นการประมวลผลเฉพาะแต่ละโดเมนในยุค Quantum Computing การเปลี่ยนแปลงนี้อาจนับเป็นการปฏิวัติโครงสร้างระบบคอมพิวเตอร์แบบเดิม และจะผลักให้ AI เข้าสู่ยุคทอง


  1. 5G จะปฏิวัติโลกเทคโนโลยี เพราะทำให้มีความเร็วสูงกว่า 4G ถึง 100 เท่า นำไปสู่การประยุกต์ใช้ที่หลากหลาย เช่น การพัฒนาวิดีโอที่มีความคมชัดสูง การพัฒนา Augmented Reality และ Virtual Reality นอกจากนั้น โครงสร้างพื้นฐาน 5G จะรองรับการส่งผ่านปริมาณข้อมูลมหาศาล ซึ่งสามารถตอบรับกับยุค Internet of Things (IOT) ซึ่งของใช้รอบตัวเราจะเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต พร้อมเก็บและประมวลข้อมูลการใช้ด้วยระบบอัจฉริยะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้เราอย่างสมบูรณ์แบบ

  1. ใบหน้าแทนที่บัตรประชาชน ด้วยเทคโนโลยี facial recognition ที่มีความแม่นยำ ปัจจุบัน เราสามารถสแกนใบหน้าเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์ได้แทนการใช้พาสเวิร์ด ในอนาคตอันใกล้ คนจีนจะสามารถสแกนใบหน้าเพื่อจ่ายเงิน (Smile and Pay) ไปจนถึงเพื่อตรวจคนเข้าเมืองแทนที่การใช้พาสปอร์ต

  1. รถยนต์ไร้คนขับจะเปลี่ยนทิศทางการพัฒนา ในอดีต การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับเน้นไปที่การพัฒนาตัวรถให้ขับเองได้ แต่ในช่วงถัดจากนี้ ด้วยเทคโนโลยี 5G ที่ก้าวหน้า การพัฒนารถยนต์ไร้คนขับจะเข้าสู่ยุคการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแวดล้อมที่เหมาะสมกับรถยนต์ไร้คนขับ (vehicle-road coordination) เช่น ถนนเลนพิเศษสำหรับรถยนต์ไร้คนขับที่จะมีการติดตั้งเซนเซอร์รองรับและช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้รถยนต์ไร้คนขับ นอกจากนั้น จะเริ่มมีการทดลองใช้รถยนต์ไร้คนขับในเชิงพาณิชย์ เช่น ในการส่งสินค้าหรืออาหารในระยะใกล้ การทำรถประจำทางไร้คนขับที่มีเลนเฉพาะ การใช้รถไร้คนขับในพื้นที่ทดลองในสวนสาธารณะ 

  1. ใช้บล็อกเชนในเชิงพาณิชย์ ตั้งแต่ระบบการจ่ายเงินข้ามพรมแดน การปล่อยสินเชื่อเพื่อเครือข่ายธนกิจ (Supply chain financing) การออกใบเสร็จอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

  1. เทคโนโลยีความปลอดภัยด้านข้อมูลจะได้รับการพัฒนา เพราะเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลจะเป็นความท้าทายที่สุดในโลกยุคใหม่ ดังนั้น จะมีการพัฒนาเทคโนโลยีในด้านนี้มากขึ้น เช่น เทคโนโลยีการป้องกันการโจรกรรมข้อมูล เทคโนโลยีการตรวจสอบย้อนกลับข้ามระบบ (Cross system traceability technology) เป็นต้น

อ่านแล้วคิดเหมือนผมไหมครับว่า โลกยุคใหม่กำลังเปลี่ยนเร็วและแรงเหลือเกิน และในวันที่โลกของจีนดูเหมือนจะหมุนเร็วกว่าเพื่อน และพร้อมจะทดลองประยุกต์ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างรวดเร็ว จึงย่อมจะมีหลากหลายเทรนด์และความท้าทายจากจีนให้เราได้ติดตามอย่างใกล้ชิดครับ

จีนไปถึงไหนแล้ว : ส่อง 5 เทคโนโลยี เปลี่ยนจีนเป็นมหาอำนาจโลก



นานมาแล้ว ชาวโลกอาจเคยมองจีนเป็นประเทศ ยากจน, ล้าหลัง, และช่างลอกเลียนแบบ แต่วันนี้ประเทศจีนเปลี่ยนไป บางเมืองในประเทศจีนมีระเบียบวินัย และความเจริญก้าวหน้าอย่างมาก และที่สำคัญ วันนี้ ประเทศจีน เป็น ‘ผู้นำเทคโนโลยี’ ชั้นนำของโลกหลายหมวด และมีโอกาสที่จะก้าวสู่ ‘มหาอำนาจของโลก’ ในอนาคตด้วยเทคโนโลยีเหล่านั้น – CEOchannels จะเล่าให้ฟังว่ามีอะไรบ้าง


1. Artificial intelligence

Artificial intelligence เรียกโดยย่อว่า AI แปลว่า ปัญญาประดิษฐ์ คือ สมองกลอัจฉริยะ ที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้คล้ายกับสมองมนุษย์
AI เป็นหนึ่งในหัวข้อที่ถูกพูดถึงอย่างมากในปัจจุบัน ทั้งแง่บวก ได้แก่ การมาช่วยให้มนุษย์สะดวกสบายและปลอดภัยขึ้น และ แง่ลบ ได้แก่ การแย่งงานและทำอันตรายต่อมนุษย์ – อย่างไรก็ดี นั่นไม่ได้ทำให้ทั้ง สหรัฐอเมริกา และ จีน ลังเลใจที่จะเร่งพัฒนา AI อย่างสุดขีดในแต่ละประเทศของตน
ในปี 2017 รัฐบาลจีนได้ประกาศว่า จีนจะต้องเป็นผู้นำด้าน AI อันดับ 1 ของโลกภายในปี ค.ศ. 2030 โดยมีเป้าหมายที่จะพัฒนาอุตสาหกรรม AI สู่ 1 ล้าน-ล้าน หยวน หรือ ประมาณ 4 ล้าน-ล้าน บาทเศษ
Rebecca Fannin, ผู้เขียน ‘Tech Titans of China’ กล่าวว่า ประเทศจีนมีการ วิจัยและพัฒนา AI อย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในหมวด การจดจำใบหน้า, การตรวจจับความเร็ว, พาหนะไร้คนขับ, สมาร์ทซิตี้, และ เอไอทางการแพทย์
ทางด้าน Council on Foreign Relations หรือ สภาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กล่าวต่อ CNBC ว่า แม้ปัจจุบัน สหรัฐฯ จะยังคงนำหน้าประเทศจีนอยู่ในเรื่องของการ วิจัยและพัฒนาด้าน AI แต่ช่องว่างของความห่างกำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ และความเร็วของจีนจะไล่ทันสหรัฐฯ หรือแม้กระทั่งนำหน้าในที่สุด

2. Financial Technology

Financial Technology หรือ Fintech คือ เทคโนโลยีที่มุ่งเน้นการพัฒนาบริการทางการเงินที่สะดวกสบายและมีความเป็นระบบ Automation มากขึ้นทั้งสองฝ่าย ระหว่าง ผู้ให้บริการทางการเงิน และ ผู้บริโภค อาทิ แอพพลิเคชันชำระเงินออนไลน์ต่างๆ ที่ทำให้คนไม่ต้องเดินทางไปธนาคารหรือแม้แต่ตู้กดเงิน และ ระบบการวิเคราะห์สินเชื่อโดยใช้ BigData และ AI ในการวิเคราะห์และอนุมัติวงเงิน เหล่านี้เป็นหนึ่งในตัวอย่าง FinTech
Accenture บริษัทที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์ธุรกิจ รายงานว่า , การลงทุนในกลุ่ม FinTech เติบโตถึง 2 เท่าตัวจากปี 2017 ถึงปี 2018 ด้วยมูลค่าการลงทุนสูงถึง 55,300 หมื่นล้านดอลลาร์ และ ประเทศจีนครองสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มนี้สูงถึง 46% (ที่มา : Accenture Newsroom)
ประเทศจีนยังเป็นบ้านเกิดของบริษัทเทคยักษ์ใหญ่อย่าง Tencent บริษัทแม่ของแอพพลิเคชัน WeChat Pay – Tencent มีมูลค่ากิจการทะลุ 500,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 และเป็นบริษัทเทคโนโลยีเอเซียรายแรกที่ทำมูลค่าได้สูงขนาดนั้น
ตามมาด้วย Ant Financial ในเครือ Alibaba ผู้ให้บริการ AliPay ซึ่งยังไม่เข้าตลาดหลักทรัพย์ และมีมูลค่าสูงถึง 150,000 ล้านดอลลาร์ ในปี 2018 และเป็น Unicorn Startup อันดับ 1 ของโลก (Unicorn Startup คือ บริษัทที่มีมูลค่า 1 พันล้านดอลลาร์ขึ้นไป ที่ยังไม่เข้าตลาดหุ้น)
หมายเหตุ ตำแหน่ง Unicorn Startup มีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
Rebecca Fannin, ผู้เขียน ‘Tech Titans of China’ กล่าวว่า “Cash is dead in China” หรือ เงินสดได้ตายไปแล้วในจีน เนื่องจากตอนนี้วงการ FinTech ในจีนถือว่าพัฒนาเร็วที่สุดในโลก และได้เกิดปรากฏการณ์ ‘Superapps’
Superapps เป็นหนึ่งในฉายาเรียกแอพพลิเคชัน FinTech จีนที่กินรวบทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเงินจนคนจีนแทบไม่ต้องพึ่ง สถาบันการเงิน แบบเดิม ๆ – อาทิ การบริการทางการเงินขั้นพื้นฐาน อย่างรับและชำระเงินผ่านแอพฯ, การชำระเงินผ่านแอพฯ ในร้านค้าใหญ่ ๆ ไปจนถึงร้านริมถนน, การบริการสินเชื่อ, และผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่าง ๆ สามารถทำผ่านแอพฯ ได้เกือบทั้งหมด
Henri Arslanian (เฮนรี อาร์สลาเนียน) ประธานสมาคม FinTech แห่งฮองกง กล่าวต่อสื่อ CNBC ว่า วันนี้คุณไม่จำเป็นต้องไปตามข่าวเทคโนโลยี FinTech ที่ ซิลิคอนวัลเลย์ อีกแล้ว อยากรู้ว่าอะไรกำลังจะมาให้ไปตามข่าวที่เมืองจีนแทน
การวิจัยและพัฒนาด้าน Fintech ของประเทศจีนก้าวหน้าเร็วมากเสียจน กฏหมายของรัฐตามไม่ทัน และรัฐบาลจีนต้องเร่งออกแบบแผนพัฒนา FinTech ล่วงหน้า 3 ปี เพื่อรองรับผลิตภัณฑ์ FinTech จีนกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต

3. Blockchain

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจว่า Block Chain คืออะไร?
Blockchain โดยการอธิบายโดยสังเขปของเว็บไซค์ Techsauce
เป็นรูปแบบการเก็บข้อมูล (Data structure) แบบหนึ่ง ที่ทำให้ข้อมูล Digital transaction ของแต่ละคนสามารถแชร์ไปยังทุกๆ คนได้ เป็นเสมือนห่วงโซ่ (Chain) ที่ทำให้ block ของข้อมูลลิ้งก์ต่อไปยังทุกๆ คนเป็น โดยที่ทราบว่าใครที่เป็นเจ้าของและมีสิทธิในข้อมูลนั้นจริงๆ
เมื่อบล็อกของข้อมูลได้ถูกบันทึกไว้ในบล็อกเชน มันจะเป็นเรื่องยากมากๆ ที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลง เวลาที่มีใครต้องการจะเพิ่มข้อมูล ทุกๆ คนในเครือข่ายซึ่งล้วนแต่มีสำเนาของบล็อกเชน สามารถรัน Algorithm เพื่อตรวจสอบ Transaction โดย Transaction ใหม่นี้จะได้รับอนุญาต ต่อเมื่อในเครือข่ายส่วนใหญ่เห็นด้วยว่ามันถูกต้อง
อ่านบทความเต็มที่ ทำความเข้าใจ Blockchain ใน 5 นาที
Blockchain โดยการอธิบายโดยสังเขปของเว็บไซต์ NuuNeoi
Blockchain คือรูปแบบการเก็บข้อมูล (Database) แบบหนึ่งของระบบที่ไม่มีศูนย์กลางแต่เชื่อถือได้และโกงยาก และ Blockchain คือการให้ทุกคนถือเอกสารชุดเดียวกัน เมื่อมีการอัปเดตก็จะอัปเดตด้วยกัน โดยมั่นใจได้ว่าเอกสารเหล่านั้นเชื่อถือได้แน่นอนไม่มีการปลอมแปลง


เดิมทีคนรู้จัก Blockchain เพราะการมาคู่กับการเทรด Bitcoin แต่ Blockchain ไม่ใช่ Bitcoin และ Bitcoin เป็นตัวอย่างธุรกรรมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงที่เกิดขึ้นภายในระบบ Blockchain และจีนมีความต้องการที่จะนำ Blockchain มาพัฒนาไปยังธุรกรรมทางการค้าอื่น ๆ
เมื่อเดือน ตุลาคม 2019 สื่อจีน CCTV News รายงานว่าผู้นำจีน Xi Jinping (ฉี จิ๋นปิง) แสดงความตระหนักต่อความสำคัญของ Blockchain และต้องการให้ประเทศจีนวิจัยและพัฒนาเรื่องการนำ Blockchain มาใช้ประกอบธุรกิจทุกภาคส่วน ได้แก่ ภาคการเงิน, การศึกษา, การแพทย์และสุขภาพ, และภาคการค้าขาย

4. Smartphones

ประเทศจีนได้ก้าวสู่การเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายสมาร์ทโฟนรายใหญ่ของโลก โดย 3 ใน 5 อันดับสมาร์ทโฟนที่มียอดจัดส่งสูงที่สุดในปี 2019 ล้วนเป็นแบรนด์ของจีน ได้แก่ Huawei, Oppo, และ Xiaomi
Bryan Ma, รองประธานสำนักวิจัย International Data Corporation หรือ IDC กล่าวต่อสื่อ CNBC ว่า ในอดีต – จีนมักถูกมองว่าเป็นนักลอกเลียนแบบ และสำหรับวงการสมาร์ทโฟน จีนถูกมองว่าพยายามเลียนแบบ Apple อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วันนี้ สมาร์ทโฟนของจีนก้าวหน้าไปมากแล้ว และกำลังก้าวสู่การเป็นผู้นำเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในสมาร์ทโฟน ไม่ว่าจะเป็น กล้อง, หน้าจอ, และระบบพลังงาน
ยกตัวอย่างเช่น Xiaomi’s Mi CC9 ที่มีกล้องขนาด 108 Megapixels และ Oppo Waterfall Screen กับหน้าจอที่ดูเกือบจะไร้ขอบเป็นต้น

5. 5G

5G คือ เครือข่ายสัญญาณมือถือ เจนเนอร์เรชัน ถัดไป มีความสามารถนำส่งสัญญาณและข้อมูลที่เร็วกว่า และมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการนำมาใช้งานร่วมกับ ‘รถยนต์ไร้คนขับ’ ที่จีนก็ตั้งเป้าจะเป็นผู้นำในด้านนี้เช่นกัน เนื่องจาก ‘รถยนต์ไร้คนขับ’ จะมีความปลอดภัยสูงเมื่อมาพร้อมกับเทคโนโลยีการรับส่งข้อมูลที่รวดเร็วไร้รอยต่อ
ในขณะที่เครือข่าย 5G กำลังพัฒนาและมีแผนนำมาใช้งานในอนาคตโดยทั้ง สหรัฐอเมริกา และ เกาหลี แต่ ประเทศจีน ได้เปิดใช้งานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จากเดิมที่เคยประกาศว่าน่าจะนำออกมาใช้งานในปี 2020
แม้จะเป็นที่เพ่งเล็งและต่อต้านจากทางการสหรัฐฯ เนื่องจากความวิตกกังวลว่า หากประชาชนสหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนจากจีนกันเป็นจำนวนมาก ข้อมูลบุคคลและความลับต่าง ๆ จะตกไปอยู่ในมือทางการจีน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประเทศจีนหวั่นใจต่อการต่อต้านแต่อย่างใด
นอกจากจะออกมาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาแล้ว จีนยังคงเร่งพัฒนาทั้ง สมาร์ทโฟน และ เครือข่ายสัญญาณ 5G โดยมุ่งจะเป็นเบอร์ 1 ของโลกในตลาด 5G – GSMA เว็บไซต์ศูนย์ข้อมูลอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน พยากรณ์ว่า จีนมีแนวโน้มที่จะเป็นมหาอำนาจเครือข่าย 5G โดยครอบครองมากกว่า 460 ล้าน Connection ซึ่งมากกว่าจำนวนประชากรสหรัฐฯ ทั้งประเทศ ภายในปี ค.ศ. 2025

และนี่คือ 5 เทคโนโลยีที่กำลังทำให้จีนกลายเป็นมหาอำนาจโลก ได้แก่ AI, Fintech, Blochain, Smartphones และ 5G

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 2



เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา  
Children with Mental Retardation

เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา 1






เด็กบกพร่องทางสติปัญญา  
Children with Mental Retardation