แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program: IEP)
และแผนการสอนเฉพาะบุคคล(Individual
Implementation Plan: IIP) ต่างกันอย่างไร
แผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(IEP) เป็นแผนการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล
โดยมีแผนระยะยาวและระยะสั้น โดยปกติจะเป็นแผนระยะ
1 ปี และมีการทบทวนทุกภาคเรียน
การจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลนั้น ๆ ทุกฝ่ายจะมีส่วนร่วมพิจารณาในการจัดบริการทางการศึกษาให้สอดคล้องเหมาะสมกับความต้องการและความสามารถของเด็ก
ทั้งการจัดการเรียนการสอน การวัดประเมินผล
และบริการพิเศษ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา
แผนการสอนเฉพาะบุคคล (IIP) เป็นแผนการสอนจัดขึ้นเฉพาะเจาะจงสำหรับนักเรียนคนนั้นเพื่อช่วยให้นักเรียนบรรลุจุดประสงค์
และเป้าหมายที่กำหนดไว้ใน IEP
ในโรงเรียนหนึ่งควรรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษเรียนรวมกี่คนจึงจะเหมาะสม
จำนวนเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่จะเข้าไปเรียนรวมนั้น
ไม่มีเกณฑ์กำหนดตายตัวแต่โดยทั่วไปในทางปฏิบัติการให้เด็กที่มีความต้องการพิเศษขึ้นมาเรียนรวมในห้องเรียนปกติห้องเรียนหนึ่งไม่ควรเกิน
3 คน หรืออาจมากกว่านั้น โดยให้คำนึงถึงประเภทระดับความพิการ
และความพร้อมของเด็กด้วย
หลักสูตรและการวัดประเมินผลเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะแตกต่างกับเด็กปกติหรือไม่
เด็กที่มีความต้องการพิเศษทุกคนจะต้องมีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(Individualized Education Program : IEP) สำหรับเด็กปกติจะมีเกณฑ์มาตรฐานซึ่งกรมวิชาการกำหนดไว้
เด็กที่มีความต้องพิเศษมีมาตรฐานเป็นรายบุคคลเพราะมาตรฐานของเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละคนไม่เท่ากัน
การจัดหลักสูตรสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะใช้เด็กที่มีความต้องการพิเศษเป็นศูนย์กลาง
หลักสูตรต้องสอดคล้องกับความต้องการของแต่ละคน สอนตามความต้องการของเด็ก สอนไปวัดผลไปการวัดผลเด็กที่มีความต้องการพิเศษจะประเมินตามที่กำหนดไว้ใน
IEP ประเมินความก้าวหน้าของเด็ก
การจัดการศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ
ควรจัดอย่างไร
การศึกษาสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษควรจัดเป็นรายบุคคล เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน การศึกษาจึงควรสนองความต้องการของเด็กเด็กที่มีความต้องการพิเศษแต่ละคนจึงต้องมีแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคล
(IEP) แต่การสอนอาจรวมกลุ่มสอนเป็นกลุ่มเด็ก ๆ ได้
หากเด็กมีแผนการจัดการศึกษา เฉพาะบุคคลคล้ายกัน
หลักสำคัญในการจัดการเรียนการสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่ครูพึงกระทำมีอะไรบ้าง
หลักสำคัญมีดังนี้ ขอให้มีน้ำใจ โอบอ้อมอารี
และอีกประการคือ ต้องรู้จักสังเกตพฤติกรรม
เข้าใจเด็ก ค้นหาปัญหาของเด็กว่าอยู่ที่ไหน
ความต้องการของเด็กอยู่ที่ไหน สิ่งไหนเด็กชอบ
สิ่งไหนเด็กไม่ชอบ ทำอย่างไรเด็กจึงจะเรียนรู้ได้ดีขึ้น
ครูปกติที่ไม่ได้รับการอบรมก็สามารถสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้
หากเป็นคนช่างสังเกตและใฝ่หาความรู้เพิ่มเติม นั่นคือ หลักสำคัญในการสอน การสังเกตเป็นวิธีการวิทยาศาสตร์ ถ้าครูนำกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการจัดการเรียนการสอนก็จะสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้ทุกคน
จำเป็นหรือไม่ที่เด็กที่มีความต้องการพิเศษจะต้องเรียนกับครูที่จบการศึกษาพิเศษโดยตรง
โดยหลักการครูที่จบการศึกษาพิเศษจะมีความรู้ด้านการศึกษาพิเศษมากกว่าครูที่ไม่ได้เรียนมาด้านนี้
แต่การเป็นครูที่ดียังมีองค์ประกอบอื่นอีกหลายประการ เช่น การเอาใจใส่ ความช่างสังเกต
ความมั่นใจ การตั้งใจสอน รู้จักสังเกตพฤติกรรม ครูที่สอนให้สอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของเด็ก
ครูที่เอาใจใส่เด็ก ครูที่ไม่ดุเด็ก ไม่ลงโทษเด็กโดยใช้วาจาหยาบคาย
ด่าทอ เฆี่ยนตี ครูที่รู้จักให้กำลังใจให้แรงเสริมเด็ก ครูประเภทนี้จะสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษเหล่านี้ได้
พบว่า ครูบางคนไม่จบการศึกษาพิเศษ
แต่สอนเด็กได้ดีกว่าครูที่จบการศึกษาพิเศษบางคนก็มี
การสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษ เป็นหน้าที่ของครูทางการศึกษาพิเศษเท่านั้นใช่หรือไม่
การให้การศึกษาแก่เด็กเป็นหน้าที่ของทุกคนในโรงเรียนควรถือเป็นหน้าที่โดยตรง
สำหรับครูที่สอนเด็กปกติจะต้องสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษที่เรียนรวมในโรงเรียนเดียวกัน
หากครูที่สอนเด็กปกติไม่มีความรู้เกี่ยวกับเด็กที่มีความต้องการพิเศษก็ควรเป็นหน้าที่ของครูคนนั้นที่จะต้องใฝ่หาความรู้จนสามารถสอนเด็กที่มีความต้องการพิเศษได้