วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

ปัญญาประดิษฐ์ AI ใครเหนือใคร ระหว่างจีนกับสหรัฐ

 ปัญญาประดิษฐ์ AI ใครเหนือใคร ระหว่างจีนกับสหรัฐ 

 รายงานพิเศษ/โชคชัย บุณยะกลัมพ

การแข่งขันอันร้อนแรงของเทคโนโลยีเอไอ โดยเฉพาะสหรัฐและจีนนั้นอาจมองได้ว่าเป็นสงครามเทคโนโลยีที่สหรัฐกุมความได้เปรียบในฐานะผู้บุกเบิกและผู้นำในการพัฒนา
สหรัฐอเมริกาและจีนได้ก้าวมาเป็นผู้นำในด้านวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีคุณภาพมากที่สุดของโลกในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ถึงแม้สหรัฐอเมริกาจะเป็นประเทศที่เริ่มต้นทำการวิจัยทางด้านนี้ก่อน
แต่ผลสำรวจนั้นชี้ว่าจีนได้ขึ้นนำสหรัฐอเมริกาทางด้านการตีพิมพ์งานวิจัยและการถูกนำไปใช้เป็นแหล่งอ้างอิงในประเด็นของ Deep Learning และ Deep Neural Network ตั้งแต่ปี 2014 แล้ว
จากข้อมูลปี 2017 จีนมีปริมาณสิทธิบัตรด้าน AI มากกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่ 4 เท่า
และถือครองสิทธิบัตรด้าน Blockchain มากกว่าสหรัฐอเมริกาอยู่ 3 เท่า
ซึ่งการเติบโตอย่างรวดเร็วทางด้านการวิจัยเทคโนโลยีนี้ส่วนหนึ่งก็เป็นผลพวงมาจากการสนับสนุนอย่างเต็มตัวของภาครัฐในจีนที่เล็งเห็นถึงความสำคัญในการนำเทคโนโลยีมาใช้ผลักดันการเติบโตของประเทศจีน
ทั้งในส่วนของตอบสนองต่อผู้บริโภคและภาคธุรกิจ
ด้วยเหตุนี้สหรัฐอเมริกาจึงวางแผนในการปรับตัวทางด้านอนาคตของ AI และเผยแพร่ออกมาในเอกสารภายใต้ชื่อ Preparing for the Future of Artificial Intelligence เพื่อให้ภาคธุรกิจและการศึกษาในประเทศได้ปรับตัวไปพร้อมๆ กัน
ในรายงานฉบับหลังนี้ยังได้ระบุอีกด้วยว่า งบประมาณที่ใช้ในการค้นคว้าวิจัยของสหรัฐนั้นยังเป็นเพียง 1 ใน 8 ของปริมาณที่จะเป็นตัวเลขที่คุ้มค่าสูงสุดสำหรับประเทศ
ดังนั้น สหรัฐจึงยังสามารถเติบโตทางด้านงานวิจัย AI และขึ้นก้าวนำประเทศอื่นๆ ได้หากดำเนินตามแผนนี้ และจะทำให้สหรัฐอเมริกามีข้อได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจเป็นอย่างมากในอนาคต
และหลังจากการวิเคราะห์งานวิจัยที่ตีพิมพ์ออกมาในด้าน AI มากกว่า 2 ล้านงานตีพิมพ์จนกระทั่งถึงสิ้นปี 2561 นั้น ทางสถาบัน Allen Institute พบว่าประเทศจีนนั้นกำลังจะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาแล้ว โดยคาดว่าจีนจะตามทันในส่วน 50% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดได้ภายในปีนี้ และตามทันส่วน 10% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดได้ภายในปีหน้า และจะตามทันในส่วน 1% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดได้ภายในปี 2568
โดยนักวิจัยพบว่า 10% ของงานวิจัยที่มีคน cite มากที่สุดนั้น ของทางฝั่งอเมริกาได้ลดลงมาจาก 47% เมื่อปี 2525 ลงมาเหลือเพียง 29% ในปี 2561
ส่วนฝั่งจีนนั้นกลับเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จนมาถึง 26.5% ได้เมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา
กระบวนการในการออกสิทธิบัตรของจีนนั้นถือว่ามีความรวดเร็วสูงกว่าและเคร่งครัดน้อยกว่าการออกสิทธิบัตรในญี่ปุ่นหรือในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก
ประเด็นนี้เองก็อาจเป็นอีกหนึ่งแรงผลักที่ทำให้เหล่านักวิจัยและธุรกิจจีนเร่งจดสิทธิบัตรเพื่อปกป้องนวัตกรรมของตนเองกันมากขึ้น
จีนก้าวหน้าในการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอขึ้นมาเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อล่าสุด บริษัทวิจัยซีบีอินไซต์พบว่าจีนกลายเป็นประเทศที่มีบริษัท “สตาร์ตอัพ” ในด้านปัญญาประดิษฐ์ที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจำนวนมากที่สุดในโลก
หรือคิดเป็นกว่าครึ่งของบริษัทที่เป็นเจ้าของเทคโนโลยีเอไอทั่วโลก
นโยบายส่งเสริม AI ของรัฐบาลจีน ซึ่งมักใช้วิธีส่งเสริมให้รัฐบาลท้องถิ่นทดลองนำ AI ไปปรับใช้ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ โดยให้ร่วมมือกับเอกชนนำ AI ไปปรับใช้ในเรื่องการจราจร สาธารณสุข การเกษตร การศึกษา ฯลฯ
ทำให้มีตัวอย่างการปรับใช้ AI ที่หลากหลาย มีการพัฒนารูปแบบการนำ AI มาประยุกต์ใช้มากมาย
ขณะเดียวกันก็สามารถเก็บข้อมูลมหาศาลมาป้อนให้ AI ในแต่ละด้านได้พัฒนาและปรับปรุงความฉลาดและความแม่นยำขึ้นอย่างรวดเร็ว
 ด้านนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศแผน American AI Initiative ที่มุ่งหวังให้หน่วยงานรัฐบาลให้ความสำคัญกับการวิจัยลงทุน AI เป็นลำดับแรก และเพื่อให้มั่นใจว่านวัตกรรม AI ที่ยอดเยี่ยมจะมาจากผู้สร้างเทคโนโลยีในสหรัฐ
แถลงการณ์จากทำเนียบขาวระบุว่า “ในขณะที่ความก้าวหน้าของเอไอมีเพิ่มมากขึ้นทั่วโลก เราไม่สามารถอยู่เฉยๆ และถือว่าเราจะสามารถรับประกันความเป็นผู้นำของเราเอาไว้ได้”
แน่นอนว่านโยบายดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการตอบสนองต่อความห่วงกังวลต่อจีน ที่อาจจะขึ้นมาครองตำแหน่งผู้นำเทคโนโลยีเอไอแทนสหรัฐ ผลจากแนวนโยบายยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน รวมไปถึงการเพิ่มการลงทุนอย่างมหาศาลในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
5 ปัจจัยสำคัญของแผนการ American AI Initiative คือ
สนับสนุนการวิจัยระยะยาว ให้นักวิจัยในสหรัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลกลางมากขึ้น  ปรับปรุงผลลัพธ์การทำงานของ AI เตรียมกำลังคนให้พร้อม มีทักษะ AI เพื่องานในอนาคต รวมทั้งสนับสนุนการศึกษา STEM (วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ในภาคการศึกษา
สถาบันด้านเทคโนโลยีควรกำหนดไกด์ไลน์สำหรับการพัฒนา AI ใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งมาตรฐานความปลอดภัย และข้อสุดท้าย ที่น่าจะเป็นเป้าหมายหลักของโครงการนี้คือ ปกป้องความได้เปรียบด้านเทคโนโลยี AI ของอเมริกาให้คงอยู่ต่อไป ท่ามกลางสงครามการค้าจีน-สหรัฐที่กำลังระอุ ยังมีเรื่องของความเป็นผู้นำเทคโนโลยีที่อเมริกาเป็นผู้นำมาตลอดนั้นกำลังถูกท้าทายโดยเทคโนโลยีจีน คำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์ก็ถูกวิจารณ์ว่ายังคงมีความไม่ชัดเจนถึงเรื่องยุทธศาสตร์ และเรื่องงบประมาณที่จะนำมาใช้จ่าย
เมื่อมองไปที่ประเทศจีน ชัดเจนว่าจีนนั้นมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน โดยรัฐบาลได้กำหนดแผนแม่บทในการพัฒนาเทคโนโลยีเอไอตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปี 2017 ซึ่งถูกเรียกว่า “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4”   อย่างไรก็ตาม ประชาชนชาวจีนยังคงมีสถิติสูงสุดของโลกที่มีผู้ใช้อินเตอร์เน็ตถึง 800 ล้านคนจากจำนวนประชากรทั้งหมด 1,400 ล้านคน
และจีนยังยึดถือ AI เป็นแขนข้างหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญของการแข่งขันในตลาดโลก ทำให้มีการจัดตั้ง Chinese State Council เพื่อจัดระบบพัฒนา AI ให้เทียบเคียงกับสหรัฐในปี 2020 มีการทุ่มเงินมากถึง 1 ล้านล้านหยวน หรือราว 4.63 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับภาคอุตสาหกรรมของจีน
โดยมีเป้าหมายอยู่ที่การเป็น AI Innovation Center ของโลกภายในปี 2030
 แหล่งข้อมูล https://www.matichonweekly.com/column/article_192563