การประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) เปิดฉากขึ้นวันแรก 22 พ.ค. 2563 ในกรุงปักกิ่ง (ภาพ: รอยเตอร์) ข่าวต่างประเทศ 22 พ.ค. 63 12:59
คณะผู้นำจีนได้จัดการประชุมสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) หรือ “ฉวนกั๋วเหรินต้า” ชุดที่ 13 ครั้งที่ 3 ในวันนี้ โดยมีประธานาธิบดีสี จิ้นผิง และผู้นำจีนคนอื่นๆ เข้าร่วมในการประชุมดังกล่าว ซึ่งจัดขึ้น ณ มหาศาลาประชาชนในกรุงปักกิ่ง ทั้งนี้ การประชุม NPC มีกำหนดจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 22-28 พ.ค.2020
สำหรับรายงานที่รัฐบาลจีนได้ยื่นเสนอต่อที่ประชุม NPC เพื่อทำการพิจารณาในวันนี้ ประกอบไปด้วยประเด็นต่างๆ หลายประเด็นด้วยกัน ซึ่งได้แก่ :
จีนระงับการกำหนดเป้าหมายการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ประจำปี 2563 และยืนยันที่จะเพิ่มการใช้จ่ายและการปล่อยกู้เพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจ
แม้เศรษฐกิจจีนมีการขยายตัวที่ติดลบในไตรมาสแรกของปีนี้ แต่รัฐบาลจีนระบุว่าเป็นราคาที่คุ้มค่าที่จะจ่ายเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 เนื่องจากชีวิตประชาชนเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างยิ่ง -จีนวางแผนออกพันธบัตรรัฐบาลสกุลเงินหยวนวงเงิน 1 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 1.41 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อระดมทุนสำหรับการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
จีนกำหนดเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อด้านผู้บริโภคหรือดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) สำหรับปี 2563 ที่ราวระดับ 3.5%
จีนจะให้ความสำคัญเป็นอันดับแรกในการรักษาเสถียรภาพการจ้างงานและสร้างความมั่นคงด้านการดำรงชีวิตของประชาชนในปีนี้ โดยตั้งเป้าที่จะสร้างงานใหม่ในเขตเมืองมากกว่า 9 ล้านตำแหน่ง
จีนจะสร้างเสถียรภาพด้านการค้าต่างประเทศต่อไป และเพิ่มบทบาทของเงินทุนต่างประเทศ รวมไปถึงการปรับลดรายการธุรกิจที่ไม่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาลงทุน (negative list) ลงอย่างมากด้วย
จีนจะยังคงปรับลดอัตราการขยายตัวของงบประมาณด้านกลาโหม ลงสู่ระดับ 6.6% ในปี 2563 ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวต่ำสุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยอัตราการขยายตัวของงบประมาณด้านการทหารของปีนี้ ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับ 7.5% ในปี 2562
จีนจะยกระดับการพัฒนาระบบสาธารณสุข โดยมุ่งเน้นปรับปรุงระบบการรายงานโดยตรงและการแจ้งเตือนล่วงหน้าเกี่ยวกับโรคติดเชื้อ, เพิ่มการใช้จ่ายในด้านวัคซีน เวชภัณฑ์ และเทคโนโลยีการทดสอบที่รวดเร็ว, เพิ่มห้องปฏิบัติการเคลื่อนที่, เสริมความแข็งแกร่งในการจัดหาวัสดุฉุกเฉิน และอื่นๆ
จีนวางแผนที่จะสนับสนุนการผลิตด้านเกษตรกรรม โดยจะเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกมาตรฐานสูงอีก 5.33 ล้านเฮกตาร์ เพื่อให้มั่นใจว่าจีนจะสามารถจัดหาอาหารที่เพียงพอให้กับประชาชน 1.4 พันล้านคนได้โดยไม่ต้องพึ่งพาต่างชาติ
จีนจะสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและมาตรฐานการใช้ชีวิตของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง (HKSAR) และมาเก๊า โดยรัฐบาลจีนจะช่วยให้ฮ่องกงและมาเก๊าบูรณาการการพัฒนาของตนเองเข้ากับการพัฒนาโดยรวมของจีนได้ดีขึ้น และช่วยให้เขตบริหารพิเศษทั้งสองสามารถเติบโตและมีเสถียรภาพได้ในระยะยาว
กองกำลังติดอาวุธของจีนจะปกป้องอธิปไตยของประเทศ รวมถึงความมั่นคงและผลประโยชน์ที่มีต่อการพัฒนา โดยจะปฏิบัติตามคำสั่งของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) และรับผิดชอบด้านการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
ทหารจีนจะยึดถือความเป็นผู้นำของพรรคคอมมิวนิสต์จีน (CPC) เหนือกองทัพ ปฏิรูปการป้องกันประเทศและกองทัพ และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับการป้องกันประเทศ
จีนจะจัดตั้งเขตการค้าเสรีนำร่อง (FTZ) และเขตคลังสินค้าทัณฑ์บนแบบบูรณาการ (Integrated Bonded Area) แห่งใหม่ในพื้นที่ทางตอนกลางและทางตะวันตกของประเทศ
จีนจะเดินหน้าส่งเสริมการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาของภาคเอกชน และสร้างความเชื่อมั่นว่าธุรกิจเอกชนจะสามารถเข้าถึงปัจจัยการผลิตและการสนับสนุนด้านนโยบายได้อย่างเท่าเทียม
จีนจะเดินหน้าผลักดันแนวคิดริเริ่ม Internet Plus อย่างเต็มรูปแบบ และสร้างจุดแข็งสำหรับการแข่งขันในเศรษฐกิจดิจิทัล
สำหรับประเด็นฮ่องกงนั้น จีนเสนอกฎหมายใหม่ที่กำหนดให้ฮ่องกงต้องดำเนินการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงแห่งชาติโดยเร็ว ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับย่อซึ่งเป็นกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงเอง
กฎหมายใหม่ดังกล่าวจะให้อำนาจรัฐสภาของจีนในการจัดทำกรอบกฎหมาย และบังคับใช้กลไกทางกฎหมายเพื่อป้องกันและลงโทษการกบฎ, การก่อการร้าย, การแบ่งแยกดินแดน และการแทรกแซงของต่างชาติ หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นอันตรายร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ
ทั้งนี้ นายหวัง เฉิน รองประธานคณะกรรมาธิการประจำสภาประชาชนแห่งชาติจีน (NPC) ได้อธิบายเกี่ยวกับร่างกฎหมายดังกล่าวในที่ประชุม NPC ครั้งที่ 13 ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 จนถึงวันที่ 28 พฤษภาคม
นายหวังกล่าวว่า นับตั้งแต่ฮ่องกงกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของจีน จีนได้ใช้หลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ”, “ชาวฮ่องกงปกครองฮ่องกง” และการให้อำนาจระดับสูงในการปกครองตนเอง
เอกสารของนายหวังระบุว่า หลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” ประสบความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในฮ่องกง
แต่ความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในฮ่องกงได้กลายเป็นปัญหาที่สำคัญ โดยระบุถึงกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นการท้าทายอย่างรุนแรงต่อหลักการ “หนึ่งประเทศ สองระบบ”, เป็นภัยต่อกฎหมาย และคุกคามอำนาจอธิปไตยของชาติ ตลอดจนผลประโยชน์ด้านความมั่นคงและการพัฒนา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องดำเนินมาตรการตามกฎหมายเพื่อป้องกัน, ยับยั้ง และลงโทษกิจกรรมเหล่านั้น
มาตรา 23 ของกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกงกำหนดว่า ฮ่องกงจะออกกฎหมายของตนเองเพื่อห้ามการก่อกบฎ, การแยกตัว, การจลาจล, การโค่นล้มรัฐบาล, การจารกรรมความลับของรัฐบาล, การห้ามองค์กรหรือหน่วยงานด้านการเมืองต่างชาติจากการจัดกิจกรรมทางการเมืองในฮ่องกง และห้ามองค์กรหรือหน่วยงานทางการเมืองของฮ่องกงจากการสร้างความสัมพันธ์กับองค์กรหรือหน่วยงานทางการเมืองของต่างชาติ
นับเป็นเวลากว่า 20 ปีแล้วหลังจากที่ฮ่องกงกลับมาอยู่ภายใต้จีน แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องดังกล่าวยังไม่ถูกกำหนดขึ้น เนื่องจากการก่อวินาศกรรม และการขัดขวางของผู้ที่พยายามจะสร้างปัญหาในฮ่องกงและจีน
เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ของฮ่องกงในปัจจุบัน จึงจำเป็นต้องมีความพยายามในระดับรัฐเพื่อสร้างและปรับปรุงระบบกฎหมายและกลไกการบังคับใช้สำหรับฮ่องกงเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ เพื่อเปลี่ยนแปลงสถานะที่ไร้การป้องกันในระยะยาวในด้านความมั่นคงของชาติ
กฎหมายนี้จะช่วยพัฒนาการสร้างสถาบันเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติตามรัฐธรรมนูญของจีนและกฎหมายพื้นฐานของฮ่องกง, ช่วยเสริมสร้างการทำงานเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ และสร้างความมั่นใจว่าการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนตามหลัก “หนึ่งประเทศ สองระบบ”
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (22 พ.ค. 63)
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.infoquest.co.th/2020/19097