วันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2562

หยวนดิจิทัล : สงครามค่าเงิน EP2 เปิดศึก ดอลลาร์ vs หยวนดิจิตอล


หลังซุ่มเงียบมานานในที่สุดประเทศจีนก็แสดงความพร้อมที่จะเปิดตัว หยวนดิจิตอล อย่างเต็มตัวในรูปแบบของสกุลเงินดิจิตอลของธนาคารกลาง (CBDC) ขณะที่ฝั่งสหรัฐฯเจ้าของสกุลเงินทรงอิทธิพลของโลกอย่าง “ดอลลาร์” ยังลังเลที่จะเข้าสู่สนามนี้ ไม่แน่ว่าสงครามค่าเงินในบทที่สองอาจจะย้ายสนามแข่งมาบนโลกดิจิตอล
หากเป็นเช่นนั้นจริง ทางฝั่งเงินหยวนของจีนอาจกุมความได้เปรียบบนสงครามค่าเงินนี้เพราะชิงพื้นที่ลงมาก่อนและมีแพลตฟอร์มที่พร้อมจะรองรับและขยายอิทธิพลของ หยวนดิจิตอล อย่างเต็มที่ผ่านเครือข่ายของ Alipay หรือ WeChat Pay ที่มีผู้ใช้งานกว่าพันล้านราย
สัญลักษณ์ที่ชัดเจนที่สุดที่แสดงว่าจีนเตรียมตัวที่จะนำเงินหยวนที่หวงแหนมานานไม่ให้ออกไปโลดแล่นบนเวทีการเงินระดับโลกเข้าสู่โลกดิจิทัลคือการออกมาประกาศสนับสนุนเทคโนโลยีบล็อกเชนให้เป็นสาระสำคัญทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของจีนโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิงเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
รวมถึงการประกาศรับรองกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยี Cryptography ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างและนำเงินดิจิตอลไปใช้งาน ผลจากการประกาศครั้งนั้นทำให้ราคาบิทคอยน์ถูกเก็งกำไรปรับตัวขึ้นแรงกว่า 30% ภายในวันเดียว 
นับตั้งแต่จีนประกาศแบนเงินดิจิตอลทั้งหมดในปี 2017 ไม่ว่าจะเป็นการสั่งปิดเวบซื้อขายเงินดิจิตอล แบนการระดมทุนแบบไอซีโอทั้งหมด รวมถึงสั่งห้ามการทำธุรกรรมเงินเงินดิจิตอลที่เกี่ยวข้องกับเงินหยวนทั้งหมด หลายฝ่ายคาดการณ์อยู่แล้วว่าจีนน่าจะมองเห็นถึงโอกาสและคุณสมบัติที่เงินดิจิตอลมีเทียบกับ Fiat Currency แบบดั้งเดิมและน่าจะมีการสร้างสกุลเงินดิจิตอลของตัวเองจึงได้สั่งปิดกั้น Cryptocurrency จากภายนอกทั้งหมด 
จนกระทั่งธนาคารกลางและแห่งชาติจีน (PBOC) ได้ออกมาประกาศว่ากำลังพัฒนาเงิน หยวนดิจิตอล ของตัวเองในรูปแบบที่ธนาคารกลางใช้หรือ Central Bank Digital Currency  (CBDC)  ซึ่งเป็นเงินดิจิตอลในรูปแบบปิดหรือ Private Blockchain กล่าวคืออยู่บนคนละแพลตฟอร์มกับ Public Blockchain ที่บิทคอยน์และเงินดิจิตอลื่นๆใช้งานอยู่
เป็นไปตามแนวทางเดียวกับธนาคารกลางอื่นๆทั่วโลกที่ให้ความสนใจในการพัฒนาเงินดิจิตอลและบล็อกเชนของตัวเองเพื่อลดต้นทุนทางด้านการเงินและเพิ่มประสิทธิภาพการทำธุรกรรมการเงิน เช่น ประเทศไทยที่มีโครงการอินทนนท์ซึ่งเป็นบล็อกเชนที่ใช้เฉพาะระบบธนาคารพาณิชย์ภายใต้การกำกับดูแล
IBM ได้เปิดเผยการวิจัยที่ทำร่วมกับ The Official Monetary and Financial Institutions Forum (OMFIF) คาดว่าภายในห้าปีข้างหน้าธนาคารกลางทั่วโลกจะมีการเปิดตัวและใช้งานสกุลเงินดิจิตอลของธนาคาร (CBDC)
ผลสำรวจจากผู้บริหารธนาคารทั่วโลก 73% ต้องการให้ธนาคารกลางออกเหรียญ CBDC และการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารธนาคารกลาง 50% มีความกังวลต่อโครงการรูปแบบเดียวกับ Libra ของ Facebook เนื่องจากจะเข้ามาทำให้เสถียรภาพทางการเงินของประเทศสูญเสียไป
ทั้งนี้เงินดิจิตอลของธนาคารกลางที่จะออกมาจะทำหน้าที่เหมือนกับ Fiat Currency ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันเพียงแต่อยู่ในรูปของดิจิทัลเท่านั้นโดยจะเข้ามาแทนที่การใช้ธนบัตรและเหรียญเงิน
ยังมีคำให้สัมภาษณ์จากผู้บริหารของธนาคารประชาชนจีนด้วยว่าเงินดิจิตอลของจีนนั้นมีรูปแบบคล้ายกับสกุลเงิน Libra ที่พัฒนาขึ้นโดย Facebook โดยมีคุณสมบัตินำไปใช้จ่ายแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการแทนเงิน Fiat Currency แบบดั้งเดิม



การแสดงตัวอย่างชัดเจนของจีนที่ต้องการจะก้าวเข้ามาในโลกของเงินดิจิตอล แม้ทางฝั่งสหรัฐฯคู่ปรับสำคัญบนเวทีระดับโลกจะยังไม่แสดงท่าทีที่ชัดเจนว่าจะนำเงินดอลลาร์ที่มีอยู่มาพัฒนาให้เป็นเงินดิจิตอล และผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลางสหรัฐฯก็ไม่เคยให้ความสนใจกับเงินดิจิตอลมาก่อน 
แต่ล่าสุดได้มีการคำกล่าวของมาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก ซีอีโอของ Facebook ได้กล่าวกับกรรมาธิการด้านการเงินของสภาครองเกรส ในโอกาสที่เข้าชี้แจงถึงการเปิดตัวสกุลเงิน Libra ว่าสหรัฐฯจำเป็นต้องส่งเสริมให้ Libra เกิดขึ้นเพื่อให้เงินดอลลาร์และสหรัฐฯยังคงความเป็นผู้นำทางการเงินของโลกและแข่งขันกับจีนได้
“สกุลเงิน Libra มีสัดส่วนของเงินดอลลาร์อยู่ถึง 50% สหรัฐฯต้องสร้างนวัตรกรรมใหม่ๆทางการเงินเพื่อที่จะแข่งขันกับจีนและคู่แข่งอื่นๆได้ อนาคต6 ใน 10 ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีของโลกอาจจะเป็นของจีนก็เป็นได้”  นี่คือประโยคที่ มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก กล่าวไว้กับสภาครองเกรสสหรัฐฯไม่นานมานี้
ถึงตอนนี้ยังไม่มีท่าทีใดๆจากฝั่งสหรัฐฯในการที่จะพัฒนาเงินดิจิตอลของตัวเอง แต่หากสภาครองเกรสอนุมัติให้ Libra เกิดขึ้นได้จริง นี่คือเงินดิจิตอลที่จะเป็นตัวแทนจากฝั่งสหรัฐฯไปขับเคี่ยวกับหยวนดิจิตอลของจีนบนเวทีระดับโลก ด้วยจำนวนผู้ใช้งาน 2,300 ล้านรายทั่วโลก สามารถแข่งขันกับ Alipay และ WeChat Pay ที่มีฐานผู้ใช้ส่วนใหญ่อยุ่ในจีนและเอเชียได้อย่างสูสี
แม้ตอนนี้พันธมิตรของสมาคม Libra โดยเฉพาะฝั่งทางด้านผู้ให้บริการทางการเงินอย่าง Visa,Mastercard และ Paypal จะถอนตัวออกไปแล้วเนื่องจากความไม่ชัดเจนทางด้านกฎระเบียบ แต่หาก Libra ได้รับการอนุมัติจากทางการ ก็เป็นไปได้ว่าพันธมิตรที่เคยถอนตัวก็อาจจะกลับมาร่วมอีกครั้ง
ขณะที่ฝากฝั่งยุโรปซึ่งมีท่าทีต่อต้านสกุลเงิน Libra อย่างชัดเจน แต่ก็มีเสียงสะท้อนมาจากสมาคมธนาคารเยอรมันว่าธนาคารกลางยุโรปสมควรที่จะพัฒนาเงินดิจิตอลสกุลยูโรของตัวเองเช่นกัน 
รัฐมนตรีคลังเยอรมัน Olaf Scholz ยังกล่าวสนับสนุนให้เกิดสกุลเงินดิจิตอลยูโรเนื่องจากระบบการชำระเงินดิจิตอลที่มีต้นทุนต่ำและสามารถนำไปใช้งานได้อย่างแพร่หลายจะเป็นผลประโยชน์ของชาวยุโรปทั้งหมด
แม้แต่ Mario Draghi ประธานธนาคารกลางยุโรปยังเคยกล่าวด้วยว่า 
“ยุโรปไม่ควรจะตามหลังจีน รัสเซีย สหรัฐฯรวมถึงภาคเอกชนในการผลักดันให้เกิดสกุลเงินดิจิตอล”
ต้องจับตาการขับเคี่ยวระหว่างสหรัฐฯและจีน บนสงครามทางด้านเทคโนโลยีรวมถึงสงครามค่าเงินในยกที่สองที่ยกระดับสู่แพลตฟอร์มดิจิทัล ฝั่งพญาอินทรีย์ในฐานะผู้นำเดิมที่มีเงินสกุลดอลลาร์ที่ได้รับการยอมรับมายาวนานและมีแม่ทัพคือยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Facebook,Google,Microsoft 
ขณะที่ฝั่งจีนเป็นผู้ท้าชิงหน้าใหม่ที่จะผลักดันเงิน หยวนดิจิตอล เข้าสู่เวทีระดับโลกขนาบข้างโดยยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Alibaba,Tencent,Huawei เรียกได้ว่าขุมกำลังไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 
ท้ายสุดแล้วใครจะเป็นผู้ชนะน่าจับตาอย่างยิ่ง