วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

การสอนภาษาโดยองค์รวม (Whole Language Approach)



การสอนภาษาโดยองค์รวม
(Whole Language Approach)


ผู้ศึกษามีความสนใจในเรื่องนี้ จึงได้ศึกษาและรวบรวมเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง ทั้งความเป็นมา แนวคิด ทฤษฎี จากเว็บไซต์ต่างๆ เพื่อการศึกษาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้หมายถึงว่าได้ลงมือปฏิบัติแล้ว โดยเฉพาะทฤษฎีนี้ซึ่งเป็นแนวการสอนภาษาแบบตรงกันข้ามกับแบบเดิม จึงขอบอกกล่าวแก่ท่านผู้อ่าน มา ณ ที่นี้ และขอขอบคุณผู้เขียน,เว็บที่ใช้ในการศึกษาและเป็นแหล่งข้อมูล





ความเป็นมา

การสอนภาษาโดยองค์รวม (Whole Language Approach)  เป็นนวัตกรรมการศึกษาที่เสนอแนวคิดใหม่ในการสอนภาษา  เกิดจากความพยายามของนักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์  ซึ่งมองเห็นปัญหาการเรียนรู้ภาษาของเด็ก ซึ่งเกิดจากการสอนที่ครูมุ่งเน้นสาระทางภาษาเป็นหลัก ทําให้การเรียนการสอนไม่น่าสนใจ ไม่เป็นไปตามธรรมชาติ คือไม่เหมาะกับวัย ความสนใจ และความสามารถของเด็ก  และเมื่อคํานึงถึงประโยชน์ที่เด็กจําเป็นต้องใช้ภาษาในการเรียนรู้และการสื่อสารในชีวิตจริง  พบว่าการสอนภาษาแบบเดิม (Traditional Approaches) ไม่เน้นความสําคัญของประสบการณ์และภาษาที่เด็กใช้ในชีวิตจริง  จึงไม่ได้ให้โอกาสเด็กเรียนรู้ภาษา และใช้ภาษาเพื่อสื่อสารอย่างมีความหมายเท่าที่ควร
 
หลักการและแนวทฤษฎีที่มีอิทธิพล

แนวการสอนภาษาโดยองค์รวม เกิดจากหลักการและแนวทฤษฎีของนักการศึกษาและนักภาษาศาสตร์ที่มีชื่อเสียง คือ 
·         เซนแบลตต์ (Rosenblatt)
·         เคนเนท กู๊ดแมน (Kenneth Goodman)
·         จูดิท นิวแมน (Judith Newman)
·         วัตสัน (Watson)

1.เซนแบลตต์ (Rosenblatt) ที่ชี้ให้เห็นความสําคัญของการจัดประสบการณ์ เพื่อพัฒนา     การคิดและภาษาของเด็กในบริบททางสังคมวัฒนธรรมการสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างครูกับเด็ก  ตลอดจนการสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ที่ตอบสนองธรรมชาติ  และเหมาะสมกับขั้นพัฒนาการของเด็กแต่ละวัย  หลักการเหล่านี้เมื่อนํามาเป็นแนวคิดในการปรับเปลี่ยนการสอนภาษา จะทําให้เด็กมีความสนใจเกิดแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ภาษาได้ดีขึ้นเพราะสิ่งที่เรียนมีความหมายและไม่เกิดความรู้สึกว่าการเรียนภาษาเป็นเรื่องยากลําบาก

2.เคนเนท กู๊ดแมน (Kenneth Goodman) เชื่อว่า การสอนภาษา เป็นเรื่องสําคัญสําหรับชีวิตเด็ก และโดยที่เด็กต้องเรียนรู้ภาษา และต้องใช้ภาษาเพื่อการเรียนรู้ ครูจะต้องตระหนักในความสําคัญ ดังกล่าว และจากการศึกษาภาษาศาสตร์เชิงจิตวิทยา สังคมวิทยา มานุษยวิทยา ปรัชญา การรู้หนังสือ  และการจัดหลักสูตร กู๊ดแมนได้รับการยกย่องในฐานะผู้บุกเบิกแนวการสอนภาษาโดยองค์รวม มีผู้ให้ความสนใจนําความคิดไปใช้ในประเทศต่างๆ และมีผู้ให้การสนับสนุนเผยแพร่อย่างกว้างขวาง ในช่วงปี 1970 เป็นต้นมา

3.จูดิท นิวแมน (Judith Newman) กล่าวไว้ในหนังสือ Whole Language Theory in Use ว่าการสอนภาษาโดยแนวคิดองค์รวมมีลักษณะเป็นปรัชญา(Philosophical stance) ความคิดของผู้สอนจะก่อตัวขึ้นจากหลักการสอนที่ผู้สอนนํามาประสานกัน

4.วัตสัน(Watson)อธิบายว่าผู้สอนจะประสานแนวการสอนของตนกับองค์ประกอบทางทฤษฎี (theory) ความเชื่อ (belief) และการนําความรู้ทางทฤษฎีและความเชื่อไปปฏิบัติจริง (practice)  องค์ประกอบทั้ง 3 มีความสัมพันธ์สนับสนุนกัน และกันเป็นวงจรที่ช่วยให้ผู้สอนเกิดการพัฒนาการสอนด้วยตนเอง โดยใช้ข้อมูลจากการสังเกตเด็กเพื่อทําความเข้าใจในความสามารถและการแสดงออกของเด็กแต่ละคน   บันทึกความก้าวหน้าของเด็กเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาของเด็กได้อย่างเหมาะสม   ครูจะสามารถสร้างแนวคิดเชิงปรัชญาการสอนจากการแสวงหาคําตอบ (inquiry)  โดยพยายามนําทฤษฎีไปใช้ในการสอนจริง (inactive theory active) พิสูจน์ความเชื่อของตนให้ปรากฏ (unexamined belief examined) และพัฒนาการสอนขึ้นเอง (borrowed practice owned)
                    



กระบวนการเรียนการสอนภาษาโดยองค์รวม


บรรยากาศการเรียนภาษาในชั้นเรียน มีลักษณะเป็นการร่วมมือกันระหว่างครูและเด็กๆ   ตั้งแต่การวางแผน คือคิดด้วยกันว่าจะทําอะไร  ทําเมื่อไร  ทําอย่างไร  จําเป็นต้องใช้วัสดุอุปกรณ์อะไร  จะหาสิ่งที่ต้องการมาได้อย่างไร  ใครจะช่วยทํางานในส่วนใด

การวางแผนจะมีทั้งแผนระยะยาว (long-range plans) เพื่อวางกรอบความคิดกว้างๆ และแผนระยะสั้น (short-range plans) ซึ่งเด็กและครูจะใช้ความคิดพูดคุยปรึกษากันเพื่อหารายละเอียดและขั้นตอนในการทํากิจกรรม

บทบาทของครู จะเป็นผู้หาวิธีการที่จะเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เด็กมีอยู่เดิมให้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่จัดขึ้น ซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องที่เด็กเคยพบเห็น การเปิดโอกาสให้เด็กพูดจากความคิดหรือประสบการณ์ในขณะฟังเรื่องจากหนังสือที่ ครูเลือกมาอ่านให้ฟัง การจัดหาหนังสือที่เหมาะกับวัยไว้ในชั้นเรียน  เพื่อให้เด็กมีโอกาสหยิบมาอ่านหรือพลิกดูเสมอ  เพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับภาพความคิดและตัวหนังสือ   ซึ่งครูไม่จําเป็นต้องสอนให้เด็กอ่านออก   เช่น การอ่านแบบเรียนเล่ม 1 เล่ม 2 ที่เคยนิยมใช้มาแต่เดิม


การเขียน ก็เช่นกัน เด็กไม่ควรถูกบังคับให้เขียนตัวพยัญชนะ คํา ประโยคตามที่ครูสั่ง แต่ในบรรยากาศการสอนแนวใหม่นี้  เด็กจะแสดงความต้องการให้ครูเห็นว่าเขาต้องการเขียนสิ่งที่มีความหมายสิ่งที่เขายากบอกให้ผู้อื่นเข้าใจ  การเขียนในระยะแรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิด ซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของเด็กและความต้องการสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบ  จะเห็นว่าในระยะแรกเด็กจะเขียนเส้นขยุกขยิกคล้ายตัวหนังสือ หรือเขียนสะกดบางคําได้ แต่ยังไม่ถูกต้อง ครูที่เข้าใจแนวการสอนภาษาโดยองค์รวม จะค่อยๆ ส่งเสริมความคิดความต้องการเขียนหนังสือของเด็ก โดยไม่ตําหนิให้เด็กแก้ไขสิ่งที่เขียนผิดในทันที    แต่จะแนะให้เด็กสังเกตจากตัวอย่างต่างๆ ที่เด็กพบเห็นได้บ่อยๆ  การสังเกตจะช่วยให้เด็กปรับการเขียนให้ถูกต้องได้ โดยไม่เกิดความรู้สึกผิดหรือถูกลงโทษ  ซึ่งอาจจะมีผลทางทัศนคติของเด็กได้มาก ดังนั้นการสังเกตเด็กเป็นเรื่องที่สําคัญอย่างยิ่ง  ที่ครูจะต้องเฝ้าดูว่าเด็กแต่ละคนแสดงออกอย่างไร ครูจึงต้องมีบทบาทในการเฝ้าดูเด็ก (kid-watcher) เพื่อประเมินความสามารถและเรียนรู้ และจัดประสบการณ์ที่เอื้ออํานวยการพัฒนาภาษาของเด็กด้วยตัวครูเองตลอดเวลา
 
การประเมินผล ที่ครูพิจารณาจากการสังเกต  การบันทึก การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็กขณะทํากิจกรรมต่างๆ และการสะสมชิ้นงาน  ถือว่าสําคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการประเมินการเรียนรู้ภาษาจากสภาพจริง (authentic forms of assessment) และมีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กมากกว่าการใช้แบบทดสอบทางภาษา